“หากลูกยังพอมีคุณงามความดีและยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติก็ขอให้ลูก กับเพื่อนตำรวจที่ถูกจับด้วยกันรอดออกไป”
คำพูดของ พ.ต.ต.ไพรวัลย์ อายุวงษ์ สารวัตรสืบสวนสังกัด บช.ภาค 4 หลังถูกจู่โจมจากตำรวจลับพม่าที่เข้ามาเชิญตัวไปสถานที่แห่งหนึ่ง ที่เมืองท่าขี้เหล็ก จากการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนทำให้ “สารวัตรไพรวัลย์” คิดว่า นี่คือ การเชิญมาแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อติดตามล่าตัวคนร้ายหรือ เปรี้ยวหั่นศพพร้อมพวก แต่แล้วก็ต้องกลับมาคิดใหม่เพราะท่าทีที่เห็นจากฝ่ายตรงข้ามแสดงออกชัดเจนว่า ที่ที่เขาอยู่นั้นไม่มีความเป็น “มิตร”
ภายในห้องสอบสวนเล็กๆที่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นห้องประชุม นอกจากจะถูกยึดโทรศัพท์แล้วยังถูกลบรูปภาพต่างๆที่ได้บันทึกไว้ด้วย กาซักถามเริ่มขึ้นท่ามกลางความแตกต่างของภาษา แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือทุกคำถามเน้นแต่เรื่องลักลอบเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อจารกรรมข้อมูล
เมื่อล่ามทำการแปลความให้รับรู้ความเครียดและความกดดันเกิดขึ้นในทันที! พ.ต.ท.ไพรวัลย์ รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณทันทีว่า พวกเขาติดกับดักเสียแล้ว
วินาทีหลังรับรู้ว่าติดกับดัก ความคิดวูบหนึ่งแล่นเข้ามามาในหัว พ.ต.ท. ไพรวัลย์ทันที เพราะว่ายังมีโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องอยู่ในกระเป๋า และนี่อาจเป็นเพียงทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ สิ่งที่ต้องทำคือการติดต่อหาผู้เป็นนายฝั่งไทยโดยเร็วที่สุด!!
มื่อคิดได้ดังนั้น จึงได้บอกล่ามว่าต้องการเข้าห้องน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าต้องถูกตามติดชนิดที่ไม่ให้คลาดสายตาเลยทีเดียว เมื่อประตูห้องน้ำถูกลงกลอน เหมือนโชคจะเข้าข้างแล้ว แต่ก็ไม่เพราะโทรศัพท์ “ไม่มีสัญญาณ” ความพยายามส่งข้อความทางไลน์และสารพัดกลายเป็นความสูญเปล่า ระหว่างที่ทำการส่งข้อความก็ต้องกดชักโครกไปด้วย เพื่อตบตาตำรวจลับที่เฝ้าอยู่ไม่ให้เกิดความสงสัย เมื่อพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ในตอนสุดท้ายก็ไดเแต่ตัดใจยอมรับความจริง ออกมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ต้องเจอด้วยความกล้าหาญ
เขาจะได้กลับประเทศไทยอีกหรือไม่ ความเป็นไปได้ก็คือ 50/50 ณ ตอนนั้นรู้เลยว่าความกดดันเป็นอย่างไร ในใจวูบวาบไปหมด วิธีที่เคยใช้ในการสืบสวนย้อนมาเหมือนกับฉายหนังซ้ำๆ เมื่อต้องเค้นความจริง ตอนนั้น พ.ต.ท. ไพรวัลย์ มองเห็น “สัจธรรม” ในทันที สิ่งที่คิดถึงตอนนั้นก็มีแค่ในหลวง ร.๙ และคำอธิฐานเท่านั้น
“หากลูกยังพอมีคุณงามความดีและยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติก็ขอให้ลูก กับเพื่อนตำรวจที่ถูกจับด้วยกันรอดออกไป” เหมือนคำอฐิานสัมฤทธิ์ผล เพราะเพียงไม่นาน “อาหลง” ต่อสายตรงเข้ามายังหัวหน้าตำรวจลับพม่า ถ้าถามว่า“อาหลง” คือใคร??! คำตอบคือ นักธุรกิจใหญ่เป็นที่นับถือของกลุ่ม “ว้าแดง”
การต่อสายเข้ามาในครั้งนี้ มีข้อเสนอคือการมอบตัวของ “น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต หรือ แจ้ และน.ส.กวิตา ราชดา หรือ เอิร์น” ให้อย่างไม่มีเงื่อนไข จะยกเว้นก็แต่ ผู้ต้องหาหนีหมายจับคดียาเสพติด และเป็นผู้นำพา 3 ผู้ต้องหาสาวหลบหนี “นายธวัชชัย อ้อมชมพู หรือ นายเก้า” การพูดคุยยื่นข้อเสนอในครั้งนี้เป็นการคุยแกมบังคับ เมื่อจบการพูดคุยตำรวจลับพม่าระดับนายใหญ่ ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปชัดเจน มีการหาน้ำมาให้ดื่ม เข้ามาขอโทษที่ทำรุนแรงไป
และหลังจบเรื่องดังกล่าวก็เป็นที่มาของการติดต่อเข้ามอบตัวของ “เปรี้ยวหันศพ” พร้อมพรรคพวกในวันที่ 3 มิ.ย เวลา 21.00 น. เศษ นั่นเอง …
ที่มา http://www.cookkhao.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น